top of page

7สาเหตุที่ทำให้การศึกษาไทยไม่พัฒนา

รูปภาพนักเขียน: ออมสิน หงคําเมืองออมสิน หงคําเมือง


ในปัจจุบันการสอบก็เปลี่ยนไปมายังกะดปลี่ยนรถเมล์อ่ะนะในนามของคนที่ผ่านมาและติดตามข่าวสารอยู่อยากจะออกมาบอกน้องที่เรียนคงจะรู้กันดีว่า ประเทศไทยนั้นมีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนานเมื่อเทียบกันในอาเซียนแล้วน่าจะเก่าแก่เป็นอันดับต้นๆใน10ประเทศเลย สิ่งที่ควบคู่กันมาคือการศึกษาที่มาตั้งแต่โบราณกาล ซึ่งควรจะพัฒนาไปตามกาลเวลาแต่ปัจจุบันยังพบว่าประเทศไทยมีระบบการศึกษาที่ห้อยท้ายๆในระดับโลกและยังถูกประเทศเล็กๆในอาเซียนเพื่อนบ้านอย่างสิงคโปร์ นำโด่ไปอย่างเทียบไม่ติด ทำไมเรายังคงเป็นประเทศที่กำลังพัฒนามาเป็นเวลานานกว่าหลายสิบปี พื้นฐานการพัฒนาประเทศย่อมอยู่ที่เยาวชนที่ดี และเยาวชนที่ดีย่อมเกิดจากการศึกษาที่ดี แต่ทำไมการศึกษาของเราถึงไม่พัฒนากันซักที เรามาดูกันว่าสาเตุมันคืออะไร ไปดูกัน!


1.การศึกษาไทยเน้นเนื้อหาเข้มข้น

อย่างที่นักเรียนหลายคนเห็น การศึกษาไทยเน้นการยัดวิชาต่างๆนาๆให้เต็มคาบเรียน ทั้งเช้า ทั้งบ่าย แถมต้องให้ท่องจำสูตรบ้าบอกันจนแทบกระอักเลือด ยกตัวอย่างวิชาที่เรารู้จักกันดี เช่น ภาษาอังกฤษ การเรียนภาษาที่ดีต้องเริ่มจากการสื่อสารก่อนถึงจะเข้าหลักทฤษฎี (คนไทยเรายังพูดไทยก่อนเรียนหลักภาษาเลย) แต่ครูภาษาอังกฤษเล่นยัดทฤษฎีแกรมม่ามากันแบบเต็มพิกัดนั้นเป็นสาเหตุที่ทำให้เด็กไทยเรียนวิชาภาษาอังกฤษไม่รู้เรื่อง ใช้ภาษาอังกฤษไม่เป็นและกลัวชาวต่างชาติแบบเข้าใส้ อีกประเด็น นอกจากจะเรียนหนัก คาบว่างก็มีไม่มาก แถมสั่งการบ้านมากันแบบเป็นรายวิชามีทั้งส่งเป็นแผ่น เป็นปึก เป็นเล่มรายงาน เป็นสมุดโน๊ต ทุกคนจะสังเกตได้ว่าครูที่แทบจะไม่สั่งการบ้านเลยคือครูชาวต่างชาติ ซึ่งเมื่อเราตัดภาพไปที่ระบบการสอนของต่างประเทศแล้วนั้น แทบจะไม่มีการบ้านเลยด้วยซ้ำ แถมคาบเรียนก็น้อย เพราะเขาถือว่าการเรียนรู้ที่ดีต้องเริ่มที่ลงมือทำ การเรียนพิเศษไม่ต้องพูดถึงแทบจะไม่มี ตัดภาพมาที่ประเทศไทย โรงเรียนกวดวิชาพุดขึ้นดั่งดอกเห็ด


2.การศึกษาไทยให้ความสำคัญกับเกรด

เกรด หรือ(GPA) ที่ทุกคนจะต้องกังวลกับมันเหลือเกินว่ามันจะออกมาเป็นยังไง เพราะการศึกษาไทยปลูกฝังให้เด็กไทยมองเกรดเป็นสิ่งสำคัญเช่นมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ต่างกำหนดเกรดขั้นพื้นฐานเพื่อรับสมัคร การมีเกรดที่ดีย่อมทำให้คนรอบข้างมองว่าเป็นคนฉลาด เก่ง อนาคตดี กลับกันคนที่ได้เกรดน้อยจะถูกมองว่าเป็นคนโง่ ด้อยพัฒนา ไม่มีอนาคต นี่คือค่านิยมที่ไร้สาระของคนไทยที่มองว่าเลขทศนิยมไม่กี่ตัวก็สามารถบ่งบอกคุณค่าความเป็นคนได้แล้ว เกรดดีก็ไม่ได้หมายความว่าจะใช้ชีวิตในสังคมเป็น และคนเราเก่งหรือไม่เก่งไม่ได้วัดกันที่เกรดหรือผลการเรียน ยกตัวอย่างบุคคลดังๆชื่อเสียงก้องโลกอย่าง โทมัส อันวา เอดิสัน และ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ทั้งสองคนในวัยเด็กมีปัญหาเรื่องการเรียน จนถูกมองว่า โง่ ไม่ฉลาด หัวขี้เลื่อย แต่ทำไมสองคนนี้ถึงได้กลายเป็นนักวิทยาศาสตร์ชื่อดังที่เราทุกคนต่างรู้จัก เห็นได้ชัดว่าเกรดแทบไม่ได้บ่งบอกถึงความสามรถที่แท้จริงของเราเลย


3.การศึกษาไทยสอบกันแบบแหลกลาน

อย่างที่พวกเราทุกคนเห็น การศึกษาไทยสอบกันเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็น Gat,Pat,O-net,Entrance,O-net,Admission อื่นๆ แถมสอบแต่ละอย่างล้วนแล้วแต่มีค่าธรรมเนียมทั้งสิ้น ไหนจะเตรียมเงินค่ากินค่าอยู่ตอนเรียนมหาวิทยาลัย และยังต้องมานั่งปวดหัวกับข้อสอบต่างๆนาๆจนไม่มีเวลานอน เสียสุขภาพ เครียด บางรายฆ่าตัวตายก็มี ถึงแม้ว่าปีหน้าประเทศไทยจะเปลี่ยนเป็นระบบEntrance แต่การสอบยังคงเยอะเหมือนเดิม แล้วพวกผู้ใหญ่ทั้งหลายเอามาให้พวกเราสอบทำไม เมื่อเทียบกับต่างประเทศแล้วนั้น ในบางประเทศมีการสอบแค่ สอบวัดระดับ กับ Entrance แต่ระบบการศึกษาพัฒนากว่าประเทศไทยมาก เพราะฉะนั้นแล้ว สอบเยอะก็ไม่ใช่ว่าเราทุกคนจะเก่ง


4.คติไทย : มหาวิทยาลัยคือทุกสิ่งของชีวิต

หลายๆคนเรียนในระดับมัธยมเพราะอยากมีมหาวิทยาลัยเรียนต่อ แต่พอเรียนไปเรียนมาก็ถูกรีไทร์ออกไป ก็เพราะว่าการศึกษาไทยปลูกฝังให้เรามองแค่ว่ามหาวิทยาลัยคือทุกสิ่ง ซึ่งแท้จริงแล้วนั้น ทางผ่านของชีวิตเราไม่ได้มีแค่มหาวิทยาลัย ในสหรัฐอเมริกา การเรียนต่อในมหาวิทยาลัย เป็นเพียงแค่ทางเลือกหนึ่งในหลายๆเท่านั้น เพราะพวกเขาเลือกที่จะทำในสิ่งที่ตนเองชอบและอยากทำหลังจากจบการศึกษาระดับHight school ส่วนใหญ่แล้วกลุ่มคนที่เข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยคือ พวกเขารักและต้องการจะเรียนจริงๆทำให้พวกเขามีความทุ่มเทในการเรียนเป็นอย่างมาก ย้อนกลับมาดูไทย เด็กไทยส่วนมากอยากเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเพียงเพราะอยากมีที่เรียนจะได้ไม่โดนพ่อแม่ด่า บางคนเรียนอย่างไม่มีเป้าหมาย เรียนไปวันๆไม่ดิ้นรนสุดท้ายก็โดนรีไทร์ หรือบางคนอยากเข้ามหาวิทยาลัยเพราะไม่อยากทำอาชีพแบบพื้นๆธรรมดาหรือแบบ อาชีพชนชั้นล่าง โดยเปอร์เซ็นส่วนมากแล้วผู้ปกครองชอบที่จะเห็นลูกหลานทำงานเป็นหมอ เภสัชกร นักวิทยาศาสตร์ ข้าราชการ ทำให้เด็กไทยเป็นคนเลือกงาน ไม่ชอบงานหนัก ติดข้ออ้างว่า "ทำไม่เป็น" ซะส่วนใหญ่


5.ผู้ใหญ่ไทยทำตัวไม่เป็นแบบอย่างให้กับเด็ก

คำกล่าวคุ้นหู "ตัวอย่างที่ดีมีค่ากว่าคำสอน" ซึ่งนั้นเป็นความจริง เพราะการที่เด็กจะมีความมุ่งมั่นตั้งใจ ก็ต้องมีตัวอย่างที่ดี พลเมืองชาวไทยควรเป็นแบบอย่างให้กับเด็กๆทุกคน แต่สิ่งที่พวกเราได้รับในปัจจุบันคือ คนไทยเอาแต่ทะเลาะกัน แก่งแย่ง ชิงดี ชิงเด่น คดโกง ทุจริต ไม่มีเหตุผล การเมือง คอร์รัปชั่นไม่โปร่งใส จัดการปัญหาด้วยความรุนแรง ฆ่าแกงกันเป็นผักปลา ซึ่งเราเห็นกันตามข่าวแทบทุกวัน แล้วพวกเราจะมุ่งหวังอะไรกับอนาคตของประเทศชาติได้


6.เด็กไทยขาดการเลี้ยงดูที่ดี

เด็กจะเก่งและมีพัฒนาการที่ดี เริ่มต้นที่ครอบครัวเสมอ คนไทยในปัจจุบันนี้ เลี้ยงลูกกันแบบผิดๆ ตามใจลูกบ้าง ตบตีลูกบ้าง หรือไม่สนใจลูกบ้าง ต้องเข้าใจกันก่อนว่า การเลี้ยงดูบุตรหลานคุณพ่อคุณแม่ต้องเป็นที่ปรึกษาคนสำคัญให้ลูกๆเสมอ การเข้าหากัน เปิดอกเปิดใจคุยกัน มีสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด สร้างความอบอุ่นในครอบครัวให้ปราศจากความรุนแรง ไม่ใช่ เอะอะ อะไรก็ตบตี ด่าทอ หรือเอาเรื่องเครียดๆในแต่ละวันของคุณมาลงที่ครอบครัว (โปรดจำไว้ว่าความเครียดในแต่ละวันนั้นจะมากจะน้อยอยู่ที่คุณจะมองโลกในแง่ดีมากน้อยเพียงใดคุณเป็นคนสร้างมันเองกรุณาอย่าเอามันมาระบายใส่คนรอบข้างของคุณ) ที่สำคัญต้องรู้ว่าเด็กชอบอะไร อย่าบังคับให้เขาทำในสิ่งที่เขาไม่ชอบ ใครๆต่างก็อยากจะทำในสิ่งที่ตนเองทำแล้วมีความสุข ให้เด็กฉายแววในสิ่งที่ตนเองถนัดและมีพรสวรรค์ คุณดูแลพวกเขาไปตลอดชีวิตไม่ได้ เขามีสิทธิ์ที่จะเลือก "อย่าบังคับปลาให้ปีนต้นไม้"


7.เด็กไทยคิดเองไม่เป็น

เด็กจะดีหรือเก่งได้นอกจากจะอยู่ที่การศึกษาและ ปัจจัยต่างๆที่กล่าวมานั้น ตัวเด็กเองก็ต้องมีสามัญสำนึกคิดเองด้วย ก็อย่างที่กล่าวไป สามัญสำนึก นั้นสอนกันไม่ได้ เด็กบางคนเกิดมาในสภาพแวดล้อมที่ย่ำแย่แต่เป็นคนมีไหวพริบ เรียนเก่ง แต่ทำไมเด็กบางคนที่เกิดมาในสภาพแวดล้อมที่มีพร้อมทุกอย่างแต่กลับเรียนไม่เก่ง ซึ่งนั้นก็ต้องอยู่ที่ตัวเด็กเองด้วย เด็กสามารถแบ่งเวลาเป็นหรือไม่ เด็กมีเป้าหมายในอนาคตหรือเปล่า ต้องอาศัยความกระตือรือร้น และ ดิ้นรน ในตัวเด็กเอง และที่สำคัญเลยก็คือ ต้องมีความเชื่อมั่นในตัวเอง กล้าแสดงออก มีความคิดในเชิงบวกที่จะพัฒนาสังคม ซึ่งเป็นพื้นฐานที่เด็กและเยาวชนทุกคนควรมี




ดู 261 ครั้ง0 ความคิดเห็น

Comments


©2025 UNCOMMON  | version 7.0 (2025) | View PDPA

bottom of page